วันศุกร์ที่ 5 กันยายน พ.ศ. 2551

บทความที่ชื่นชอบ

คุณค่าของเวลา

ถ้าอยากรู้ว่าเวลา 1 ปีมีค่าเพียงใด .. ให้ถามนักเรียนที่สอบไล่ตกถ้าอยากรู้ว่าเวลา 1 เดือนมีค่าเพียงใด .. ให้ถามมารดาที่ต้องคลอดบุตรก่อนกำหนดถ้าอยากรู้ว่าเวลา 1 สัปดาห์มีค่าเพียงใด .. ให้ถามบรรณาธิการหนังสือรายสัปดาห์ถ้าอยากรู้ว่าเวลา 1 ชั่วโมงมีค่าเพียงใด .. ให้ถามคู่รักที่ต้องรอเวลาจะพบกันถ้าอยากรู้ว่าเวลา 1 นาทีมีค่าเพียงใด .. ให้ถามคนที่พลาดรถไฟ รถประจำทางหรือเครื่องบินถ้าอยากรู้ว่าเวลา 1 วินาทีมีค่าเพียงใด .. ให้ถามที่รอดชีวิตจากอุบัติเหตุอย่างหวุดหวิดถ้าอยากรู้ว่าเวลาในเสี้ยววินาทีมีค่าเพียงใด .. ให้ถามนักกีฬาโอลิมปิกที่ได้เหรียญเงินเวลาไม่เคยคอยใคร .. เราควรใช้ทุกขณะอันมีค่ายิ่งให้ดีที่สุดจงแบ่งปันเวลาให้กับใครบางคนที่เป็นคนพิเศษที่เรารัก


ความรักของคนตาบอด


คุณเคยเห็นคนตาบอดไม๊ ? คนตาบอด...ที่เดินไปไหนต่อไหนด้วยกันเป็นคู่.... คุณอาจเจอพวกเขาได้ ในที่ที่มีคนอยู่กันเยอะๆ เช่น..ตลาดนัด... พวกเขาไปที่นั่น เพราะหวังว่า... คงจะมี คนใจบุญ ไปเดินอยู่ที่นั่นบ้าง... คนสองคน...ที่จับมือกัน...ค่อยๆ เดินกระเถิบไปด้วยกันทีละนิด..ทีละนิด.เพราะต่างคน ต่างก็มองไม่เห็นอะไรกันทั้งคู่... นอกจากไม้เท้าคนละอันแล้ว...ในมือพวกเขาถือวิทยุเก่าๆเครื่องนึง... กับไมค์อีกอีกหนึ่งอัน...ที่ขาดไม่ได้ ก็คือขันอลูมิเนียม... อาวุธสำคัญที่ใช้หากินอยู่ทุกวัน.. ผมไม่ คุ้นหู กับเพลงที่เขาร้องนักหรอก.. แต่ก็ดูว่าเขาตั้งใจร้องเหลือเกิน... และดูเหมือนเขาก็ หวัง ว่าคุณจะต้องชอบมัน... ผมเห็นเขาจับมือกัน... วินาทีนั้น...ทำให้ผมนึกถึงอะไรบางอย่างที่ผมเคยมองข้ามมาตลอด.. คุณเคยนึกถึงความรักของ..คนตาบอด..หรือเปล่า.... ตนตาบอดรักกันได้ยังไงนะ...เพราะคนตาบอด...ไม่เคยรู้เลยว่า... คนรักของเขา..มีหน้าตาเป็นอย่างไร.. คนตาบอด..จะรู้จักก็เพียงจิตใจของคนรักของเขาเท่านั้น. เมื่อเขามีความพอใจกันและกัน.... ไม่มีเกียรติยศ ศักดิ์ศรี ให้กังวลใจ...เพราะต่างคนก็ต่างไม่มีสิ่งนี้... ต่างคน..ต่างก็ไม่มีเงิน... ตาสองข้าง ปิดสนิท....แต่เปิดใจเข้าหากัน.. คนสองคนที่อยู่ด้วยกัน ด้วย " ใ จ " ล้วนๆ... ความรัก....ก็เกิดจากตรงนั้น. คนตาบอด พาคนที่เขารัก ไปด้วยกันทุกหนทุกแห่ง... คนตาบอด ไม่เคยกลับบ้านดึก... คนตาบอด ออกจากบ้านพร้อมกัน...และกลับถึงบ้านพร้อมกัน... พวกเขาเคยแยกกันบ้างหรือเปล่านะ.... ? คุณรู้หรือเปล่า.....คนตาบอด จับมือของคนที่เขารักไว้ตลอดทั้งวัน... คุณเคยทำอย่างเขาบ้างไม๊... ? ผมกลับมานึกถึงความรักของคนที่ตาดี... หลายๆ คน มีเกียรติยศ หน้าที่ การงาน ที่ดีเหลือเกิน... หลายๆ คน ทั้งหล่อ ทั้งสวย...ทั้งรวย ทั้งฉลาด... แต่พวกเราหลายๆคนกลับต้องมาเสียใจเพราะความรัก... หรือว่าพวกเรามองเห็นกัน....เพื่อจะเรียกร้องสิ่งที่เราต้องการให้มากขึ้น.. เอ....พวกเราคาดหวังอะไรจากคนที่เรารัก....มากเกินไปหรือเปล่านะ... อนาคตของคนตาบอด..อยู่ตรงไหนก็ไม่รู้... ดูเหมือนเขาจะ...สงสัยก็เพียงแต่ว่า... วันพรุ่งนี้...จะมีคนใจบุญซักกี่คน... ที่ทำให้พวกเขากลับบ้านด้วยกันอย่างมีความสุข.... ตอนที่ผมเขียนกระทู้นี้อยู่...พวกเขาก็คงนอนหลับกันแล้ว... พวกเขาคงไม่มีงานที่ต้องทำดึกๆ เหมือนผมหรอก...คุณว่าไม๊ ?? ขอบคุณตลาดนัด...ที่ทำให้ผมเห็นภาพดีๆในวันนี้.... ผมเชื่อว่าครั้งหน้า.ที่คุณเห็นคนตาบอด...ใจของคุณจะเปิดกว้างขึ้น... คุณอาจมองเห็นภาพที่คุณไม่เคยมองเห็น... ไม่ใช่ด้วยตา...แต่เห็นด้วยหัวใจ... เหมือนกับภาพที่ผมได้เห็นในวันนี้...


พ่อครับผมขอโทษ


หลังวาเลนไทน์ วันที่ 14 กุมภาพันธ์
ผมเป็นอีกคนหนึ่งที่เหมือนคนทั่วไป
“กุหลาบ ช็อคโกแลต คำบอกรัก"
สามสิ่งนี้ต้องเวียนเข้ามาหาชีวิตผม
เพื่อให้คนคนหนึ่งใน ทุก ๆ ปีของวันนี้
. . . ก่อนวันที่ 14 กุมภาพันธ์
ผมเดินออกจากบ้าน
ในมือมีผ้าเช็ดหน้าสีชมพูที่ต้องการเอาให้แฟนของผม
เธอเป็นหญิงสวยมาก เป็นดาวคณะของมหาลัยของเรา
ก่อนผมจะออกไปพบเธอ เธอโทรมาหาผม
ผมจึงวางผ้าเช็ดหน้าที่ผมบรรจงพับไว้บนโต๊ะ
หลังจากการพร่ำบอกรักกันด้วยถ้อยคำหวานหูเป็นเวลานานทีเดียว
ผมปรี่ออกจากบ้านไปหาเธอ
โดยไม่ลืมผ้าเช็ดหน้าผืนนั้น
แต่แล้ว!!
ผมก็เห็นพ่อของผมถือมันออกมา ในผ้าผืนนั้นมีรอยเลือด
"พ่อ ทำอะไรหนะ" ผมโพล่งถามด้วยความโมโห
พ่อหน้าซีดทันที
"ไอ้เหมียวหนะ มันโดนกัด พ่อเลยเอาผ้าไปเช็ดเลือด"
"พ่อรู้ไหม ผมกำลังจะเอาไปให้แฟน"
พ่อเงียบ . . . ผมเกลียดจริงๆ เวลาพ่อเงียบเมื่อจนกับปัญหา
ความโหโหสั่งผมให้ทำได้แม้กระทั่งจะตบหน้าพ่อ
พ่อเบือนหน้า
"พ่อขอโทษ มานี่ . . . " พ่อยื่นมือมารับผ้าเช็ดหน้า
"พ่อจะเอาไปซักให้เอง"
ผมงอนพ่อถึงกับไม่ยอมคุยกับพ่อเป็นเวลานานพอควร
ไม่ยอมลงจากบ้าน
เป็นเวลาเกือบทั้งสองวันที่ผมไม่เจอหน้าใคร
หมกตัวอยู่กับห้อง มีเพียงแม่เท่านั้นที่คอยส่งข้าวให้ผม
ยามเมื่อผมมองตาแม่ครั้งใดทุกครั้ง ดวงตาแม่จะแดงปรี่ด้วยน้ำตา
ผมเริ่มรู้สึกว่า บางทีผมอาจจะทำเกินไป
. . . 14 กุมภาพันธ์
ตั้งแต่ครั้งที่ผมเห็นแม่เสียใจ
ผมก็รู้สึกว่าผมทำอะไรผิดไปหรือเปล่า
ผมยอมออกมาจากห้อง
ผมไม่เห็นพ่อ
เดินออกมาที่บริเวณลานซักผ้า กาละมังยังมีผ้าที่ยังไม่ซักหลายผืน
ข้างๆ มีกองเลือดอยู่ และที่ราวตากผ้ามี ผ้าเช็ดหน้าของผม
ถึงจะล้างรอยเลือดไม่หมด ก็ยังดีที่พ่อยังห่วงใยผม ยังแคร์ผมอยู่
"พ่อ ผมอยากขอโทษครับ"
พอผมหันหน้าจะกลับเข้าบ้าน ก็พบกับแม่ แม่ร้องไห้มาแต่ไกล
แม่วิ่งมากอดผม "พ่อเสียแล้วนะ"
ผมอึ้ง!!
แม่ลำดับเหตุการณ์ และทำให้ผมทราบว่า
พ่อป่วยเป็นโรคทางเดินหายใจติดเชื้อ
รอยเลือดที่เห็นนั้นคือเลือดที่พ่อจามออกมา พ่อมองไม่เห็น
"พ่อกำชับแม่มาตอนที่ลูกโกรธว่า อย่าบอกลูกเด็ดขาดว่าพ่อป่วย "
"ทำไมล่ะครับ"
"พ่อกลัวเราจะเสียใจ แล้วไม่ได้ออกไปเที่ยวกับแฟน"
ผมอึ้งเป็นครั้งที่สอง!
"พ่อบอกแม่ด้วยว่า ถ้าพ่อเสียวันนี้ อย่าเพิ่งบอกลูก
ให้ลูกไปเที่ยวกับแฟนก่อน
พ่อไม่อยากให้ลูกเป็นทุกข์ พลาดโอกาสอย่างนี้เพราะพ่อคนเดียว
พ่อบอกด้วยว่าพ่อซักผ้าเช็ดหน้าให้แล้ว มันไม่สะอาดหรอก
แต่พ่อบอกว่าพ่อของลูกทำดีที่สุดแล้ว"
ผมกอดแม่ ร้องไห้
วันนี้จะเป็นวันวาเลนไทน์ที่อยู่ในความทรงจำตลอดไป
"พ่อครับ ผมขอโทษ . . .

ไม่มีความคิดเห็น: